เทศน์พระ

ปิดตา

๓ เม.ย. ๒๕๕๘

 

ปิดตา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทำใจให้สงบนะ ตั้งใจเพราะว่าเราบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเห็นไหม บวชเป็นพระผู้ประเสริฐ คำว่า ผู้ประเสริฐนะมันประเสริฐในหัวใจไง กิริยาการแสดงออกมันจะแสดงออกว่าข้างในมีความร่มเย็นจริงหรือเปล่า ถ้าข้างในมีความร่มเย็นจริงการแสดงออกนั้นมันจะนุ่มนวล การแสดงออกนั้นมันจะมีสติปัญญา ถ้าการแสดงออกนั้นมีแต่ฟืนแต่ไฟเห็นไหม ข้างในนั้นมันก็เดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่จากภายใน

ถ้าเดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟจากภายใน สิ่งนี้มันเป็นไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันแผดเผา มันเบียดเบียนตนก่อนคือมันแผดเผาตนเองก่อน แล้วมันจะแผดเผาผู้อื่น เราเป็นพระ เราเป็นพระนะ เราเป็นผู้ประเสริฐ เราบวชมาเป็นพระ พอบวชเป็นพระนี่สมณสารูป สมณสารูปการเคลื่อนไป การเคลื่อนไปแบบคนที่นุ่มนวล เขาก็เคลื่อนไปด้วยความนุ่มนวลของเขา

แต่คนที่กระฉับกระเฉงเขาเคลื่อนไปด้วยความกระฉับกระเฉงของเขา แต่! แต่เขาก็มีสติน่ะ เขามีสติปัญญาของเขา จะเคลื่อนไหวด้วยเร็วขนาดไหนแต่มีสติปัญญาพร้อม การมีสติปัญญาพร้อมนั้น ดู มันจะความอ้อยสร้อย ความรวดเร็ว แต่ถ้ามีสติปัญญาแล้วมันสวยงามไปหมดล่ะ แต่ถ้ามันขาดสตินะ ความรวดเร็วก็เป็นการผลุบผลับ เป็นการลวกๆ การเชื่องช้า การเชื่องช้าก็เหมือนคนป่วยเห็นไหม การเชื่องช้าก็เหมือนป่วย ถ้ามันขาดสติมันขาดไปหมด แต่ถ้ามันมีสติปัญญาจะรวดเร็วหรือจะชักช้านี่มันมีสติปัญญาของมัน

ถ้าสติปัญญาของมันนี่สมณสารูป เราเป็นพระ ถ้าเราเป็นพระนะเราต้องกระฉับกระเฉง แต่ก็มีสติ ไม่ใช่กระฉับกระเฉงจนขาดสติไป อันนั้นสมณสารูปมันก็ไม่สวยงาม นี่เราเป็นพระ เป็นพระต้องมีสติมีปัญญา คำว่ามีสติมีปัญญา นี่เราจะฝึกหัดของเรา ฝึกหัดเพื่อประโยชน์กับตัวเรา

การฝึกหัดเห็นไหม ทุกคนจะต้องบอกว่าตัวเองทำถูก เพราะกิเลสมันจะเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น แต่ถ้ากิเลสเห็นไหม ถ้ามันโดนจับ โดนศีล สมาธิ ปัญญาจับมาตรวจสอบเห็นไหม เอามาตรวจสอบนะ เราตรวจสอบๆ ตัวเรา ใครก็แล้วแต่เวลาประพฤติปฏิบัติอยากจะบรรลุธรรมๆ การบรรลุธรรมก็บรรลุผ่านกิเลสนี่ ต้องชำระล้างกิเลสชำระล้างความเคยใจของเรา ถ้าการชำระล้างเคยใจของเรา นั่นล่ะคือการต่อสู้ การต่อสู้กับกิเลสของตัว

ถ้าการต่อสู้กับกิเลสของตัวเห็นไหม มันกระจ่างแจ้ง มันขาวกระจ่างแจ้งจากสติปัญญาของเรา แต่ถ้าเราบวชพระขึ้นมา เราบวชด้วยความศรัทธาด้วยความเชื่อของเรา พอบวชด้วยความเชื่อของเราเราว่าสิ่งนี้เราทำได้ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราทำได้ มันเป็นความคิดของเราไง มันเป็นสัญญามันเป็นการศึกษามา ศึกษาแล้วทุกคนคำนวณแล้วว่าทำได้ แต่เวลาจริงๆ แล้วมันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้เพราะมันไปจำนนกับกิเลสของเราเองไง

ถ้ามันไปจำนนกับกิเลสของเราก็จำนนกับสัญญาของเรา มันเป็นสัญญาของเรา มันไม่ใช่ความจริงไง เราว่าความจริงนะ เวลาเราต่อสู้กับกิเลสนะความจริงมันต้องฝ่าฟันเข้าไป มันจะรู้เห็นของมันเห็นไหม นี่ไงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ในดวงใจของเราถ้ามันไม่มีมรรคมันก็ไม่มีผล ถ้าไม่มีมรรคเห็นไหม มันปิดหูปิดตาไง

ถ้าเราปิดหูปิดตานะ นี่คนเราปิดตา พอปิดตาขึ้นมานี่มันไม่รู้สิ่งใดเลย จากภายนอกมันมองไม่เห็นสิ่งใดเลย แต่มันก็รู้สำนึกตัวในความรู้สึกของเราเอง เพราะมันปิดตา ปิดตามันก็เป็นความเห็นของเราโดยเฉพาะใช่ไหม มันไม่เป็นความจริงในสังคมใช่ไหม ไม่เป็นความจริงในสัจธรรมใช่ไหม เพราะเราปิดตาเราไง เราปิดตาคือเราไม่รับรู้สิ่งใดเลย

สิ่งนั้นมันอยู่ข้างนอก สิ่งนั้นเราปฏิเสธ เราไม่รับรู้ แต่สิ่งที่เราไม่ปฏิเสธไม่รับรู้นี่มันมีผลกับเราทั้งนั้น ดูสิ ดูสภาพแวดล้อม ดูสิถ้าอากาศเป็นพิษ คนเราหายใจสิ่งที่เป็นพิษเข้าไปมันก็ตาย นี่แหล่งน้ำๆ ถ้ามันเป็นสารพิษขึ้นไปกินเข้าไปก็ตาย สิ่งใดเราอาศัยสิ่งนั้น เราต้องมีหูมีตา เราต้องคัดแยกได้ว่าสิ่งใดเป็นสารพิษและไม่เป็นสารพิษ ถ้าเป็นสารพิษเห็นไหม เราเลือกเราคัดแยกมาจากภายนอก เราไม่ให้เข้ามาในร่างกายของเรา ถ้าเราไม่ปิดหูปิดตาเราจะมองสภาวะแวดล้อมอย่างนั้นก่อน แล้วมันจะรู้จริงว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นประโยชน์และเป็นโทษ เพราะเราไม่ปิดตา

แต่ถ้าเราปิดตา ปิดตามันก็จบเลย มันไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนอกไง ถ้ามันไม่รู้ไม่เห็นสิ่งภายนอก สิ่งที่มันจะเข้าไปในใจเรานี่มันจะเป็นสัจจะความจริงได้ไหม แต่มันเป็นสัจจะความจริงเพราะเราปิดหูปิดตาของเรา แล้วเราคาดหมายไป เราจินตนาการไป เราว่าความเป็นของเราไง เพราะการปิดตาของเรา เราถึงไม่มีความกระจ่างแจ้ง ไม่มีการคัดแยกให้มันถูกต้องดีงามของเรา ถ้าไม่คัดแยกให้ถูกต้องดีงามของเรานี่มันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไง มันก็เป็นความจริงของกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง เพราะกิเลสตัณหาความทะยานมันปิดหัวใจของเราไว้

ถ้ามันปิดหัวใจของเราไว้ สิ่งใดที่มันพอใจสิ่งนั้นมันบอกสืบทอดเข้าไปสู่สัจธรรมได้ ถ้าสืบทอดเข้าไปสู่สัจธรรมได้ มันก็สืบทอดไปด้วยความรู้ความเห็นของเรา ถ้าความรู้ความเห็นของเราก็เป็นวิปัสสนึกไง มันเป็นวิปัสสนึก เราคิด เราคาด เราหมาย เราต้องการ เราปรารถนา ทั้งๆ ที่เราต้องการปรารถนาสัจจะความจริง ทุกคนต้องการปรารถนาสัจจะความจริงเพื่อเป็นมรรคเป็นผล แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปโดยกิเลสมันปิดหูปิดตา มันก็เป็นความเห็นของเราเป็นความจินตนาการของเรา ไม่เป็นความจริงของเรา ไม่เป็นความจริง มันเป็นความจริงของกิเลส กิเลสมันปั้นแต่งให้ กิเลสมันทำให้ว่าเป็นอย่างนั้น กิเลสมันสวมรอยให้ กิเลสสวมรอยให้

คิดดูคำว่ากิเลสสวมรอยให้มันเป็นความจริงไหม มันไม่เป็นความจริง เพราะกิเลสมันสวมรอยมาให้ แล้วจิตใจของเรานี้ในปัจจุบันมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ในใจของเรา แล้วมันจะเอาความจริงมาจากไหนล่ะ มันก็ธรรมะปิดหูปิดตาไง ปิดหูปิดตาของเราไว้ แล้วมันก็อยู่ในความรู้สึกของเรานี่ อยู่ในความคิดของเราว่าสิ่งนี้เป็นความจริงๆ ของเราไว้ แต่มันไม่เป็นความจริงเลย

แต่ถ้าเปิดหูเปิดตาขึ้นมาล่ะ เราเปิดหูเปิดตาเข้ามานี่ มองดูสภาวะแวดล้อมเห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาเห็นไหม นี่พ่อแม่นะ เกิดด้วยมีอำนาจวาสนานะ เวลาแม่จะคลอดอยากกลับไปเยี่ยมบ้านก่อน กลับไปเยี่ยมบ้านนี่พอไปครึ่งทางมีอาการว่าจะคลอด จะเข้าไปอยู่สวนลุมฯ ยืนเหนี่ยวต้นรังไว้แล้วคลอดออกมา

นี่ไง เวลาคลอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมา ดูสิ ระหว่างตระกูล ๒ ตระกูลแล้วมันเรื่องโลกทั้งนั้น เรื่องอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาเกิดมาเห็นไหม “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” คำว่าเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วนี่ยังต้องดำรงชีวิตไป กว่าจะได้ออกบวช พอบวชแล้ว บวชแล้วยังต้องไปค้นคว้ากับเจ้าลัทธิต่างๆ อีก

มันสว่างกระจ่างแจ้งตั้งแต่เป็นความจริงตั้งแต่นั่น เพราะตั้งแต่นั่นขึ้นมาเวลาอาสวักขยญาณในหัวใจขึ้นมานี่ อันนั้นเป็นสัจจะความจริงจากภายใน จากที่สภาวะแวดล้อมโลกนี้ไม่เกี่ยว ไม่มีใครมีอำนาจวาสนาแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าสัจธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ไม่มีใครตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมก็อยู่อย่างนั้นล่ะ

แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมาเห็นไหม ดูสิ สิ่งที่สร้างมา สิ่งที่สร้างมาบารมีเต็ม เวลาไปตรัสรู้ขึ้นมา เพราะตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกนี้กระจ่างแจ้งไปหมดเห็นไหม “ดวงตาของโลก” ใครจะมีสิ่งใดแล้วแต่ อนาคตังสญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างกระจ่างแจ้งไปหมด มันสว่างกระจ่างแจ้งตั้งแต่เกิด ตั้งแต่เกิดเห็นไหม

เวลาเกิดขึ้นมานี่ระหว่างครอบครัว พระนางมหาสิริมายาจะกลับไปเยี่ยมบ้าน เวลามันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาด้วยความหยั่งรู้ เกิดขึ้นมาด้วยความพร้อมขึ้นมา “เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ทั้งๆ ที่พึ่งประสูตินะ นั่นคืออำนาจวาสนาบารมีไง แต่มันยังไม่เป็นสัจจะความจริงไง ถ้าเป็นสัจจะความจริง เวลาออกบวชแล้วเห็นไหม ออกบวช ๖ ปี ก็ไปค้นคว้าอยู่กับเขาอยู่ ๖ ปี แต่เวลาจะมาตรัสรู้ขึ้นมา มาตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเอง สิ่งที่สร้างขึ้นมาสร้างขึ้นมาในหัวใจนี้ ถ้าสร้างมาในหัวใจนี่ มันไม่มีสิ่งใดมาปิดบังเลย มันสว่างกระจ่างแจ้งโลกนี้และโลกหน้า จากภายนอกและภายใน

ถ้าภายนอกเห็นไหม ภายนอกก็เรื่องของโลก เรื่องของโลกเห็นไหมอนาคตังสญาณ ดูสิ ผลของวัฏฏะ เวลาพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาของเรามาแล้ว ทั้งๆ ที่ว่ายังไม่ได้บวชเห็นไหม นี่มาแล้วๆ จะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเทศน์พระอัสสชิมาได้เป็นพระโสดาบัน ไปบอกพระโมคคัลลานะๆ ได้พระโสดาบันด้วยกัน มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาของเรามาแล้ว มาแล้วสั่งสอนจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ถึงได้ตั้งเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ของเขาทั้งนั้น มันกระจ่างแจ้งมาหมดไง

แต่เวลาพระเราเห็นไหม ก็บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ลำเอียง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าจะตั้งผู้ที่อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา ก็ต้องตั้งพระอัญญาโกณฑัญญะ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลกเห็นไหม นี่คิดทางโลก คิดทางวิทยาศาสตร์ คิดทางที่รู้เห็นในทางภพชาตินี้ไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ เขาสร้างของเขามา เขาทำของเขามา พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เขาสร้างของเขามา

สิ่งที่สร้างมานี่ พระอัญญาโกณฑัญญะก็สร้างของพระอัญญาโกณฑัญญะมา เป็นผู้ที่เลิศในราตรีเห็นไหม เพราะว่าเป็นพระผู้เฒ่าที่มีการศึกษาที่มีประสบการณ์มา พอฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก นี่เอาหลานของพระปุณณมันตานีมาบวชเท่านั้นเอง แล้วก็เข้าไปอยู่ในป่าในเขาไปอยู่กับสัตว์ป่า นี่มันผู้มีราตรี ผู้ที่มีแก่กล้าในประสบการณ์ พระอัญญาโกณฑัญญะท่านก็มีอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ท่านก็มีของท่านอย่างหนึ่ง

แต่เราเป็นมนุษย์ไง ความเห็นของโลกไง เราก็คาดการณ์เอาเองไง เราคาดการณ์เอาเองน่ะ เป็นผู้อาวุโส เป็นสงฆ์องค์แรกของโลกก็ต้องเป็นอัครสาวกเบื้องขวา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตั้งพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร มันมีที่มาที่ไป มันสว่างกระจ่างแจ้งมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พวกเรามันปิดหูปิดตาไง ปิดหูปิดตาแล้วก็ศึกษา ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาทางโลก แล้วก็เรียงลำดับเอาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว เรียงออกมาเห็นไหม มันปิดหูปิดตานะ มันไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับความเป็นจริงในใจเลย

ถ้ามันเป็นประโยชน์กับความเป็นจริงที่ในใจ สิ่งที่เราศึกษามามากน้อยขนาดไหนวางไว้ๆ ขณะในปัจจุบันนี้เรากำลังมาค้นคว้าความจริงของเราอยู่ ค้นคว้าอะไร? ค้นคว้าสัจจะ เกิดมาจากไหน อยู่ทำไม ไปไหน ไปแล้วได้อะไร เห็นไหม มันเป็นสมาธิไหม ที่เรามาลงอุโบสถ ที่เรามาลงอุโบสถเพราะเรามาเข้าหมู่นะ เวลาสงฆ์นะเวลาเขาลงอุโบสถกันนี่เห็นไหม เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในหมู่สงฆ์ เวลาสวดปาฏิโมกข์ทุกคนนะมีความถูกความผิดมา สิ่งใดเขามาสวดมาตรวจสอบกันเพื่อความสะอาดในหมู่สงฆ์นี่เวลาเข้าหมู่ เวลาเข้าหมู่แล้วหมู่สงฆ์นั้นมันจะมีความเข้มแข็ง จะมีความเข้มงวด จะระลึกถึงต่อกัน

เวลามาเข้าหมู่เห็นไหม ดูสิ วัดๆ หนึ่ง พระในวัดนั้นก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งมีตั้งแต่สมองลงมาถึงปลายเท้า มีแขนซ้ายแขนขวามีทุกอย่างพร้อมนะ มนุษย์คนหนึ่งมันต้องอวัยวะ ๓๒ การขับเคลื่อนไปมันก็สะดวกสบาย สงฆ์ในวัดหนึ่งมีความสามัคคีกัน มีทิฏฐิเสมอกัน มีความเห็นเหมือนกันคล้ายกันอยู่ในหมู่สงฆ์นั้น

นี่ข้อวัตรปฏิบัติมันหมุนไปวันต่อวัน เช้าขึ้นมาวัตรในโรงทาน วัตรในศาลาเห็นไหม วัตรในศาลาวัดต้องมีน้ำเขียงเท้าน้ำล้างเท้า มีน้ำล้างบาตรมีทุกอย่างพร้อมเห็นไหม นี่วัตร เราทำวัตรในโรงธรรม วัตรในศาลา แล้วออกบิณฑบาต ถ้ามันพรั่งพร้อมมันทำด้วยความกลมกลืนกันมันสะดวกสบายไปทั้งนั้น ในวัดๆ หนึ่งมันก็เหมือนร่างกายๆ หนึ่ง ก็เหมือนสังฆะเหมือนสงฆ์กลุ่มหนึ่ง มันมีความเสมอภาค

หัวหน้าก็เป็นสมอง เป็นสิ่งที่ควบคุมเส้นประสาท ไอ้แขนซ้ายแขนขวา เท้าซ้ายเท้าขวานี่อวัยวะต่างๆ เห็นไหม อันนั้นเป็นปาก อันนั้นเป็นท้อง อันนั้นเป็นทวารหนักไว้เป็นถ่ายขี้ นี่ไง มันก็สำคัญ ถ้าถ่ายไม่ออก ถ่ายไม่ออกมันก็อยู่ไม่ได้ คนเราถ่ายไม่ได้อยู่ไม่ได้หรอก คนเรากินเข้าไปก็ต้องถ่ายออกทั้งนั้น ใครมีความพร้อมสิ่งใดมีทุกอย่างเห็นไหม วัจกุฎีวัตร วัตรในห้องน้ำ วัตรในส้วม สำคัญมาก สำคัญมากเพราะวัตรมันไว้ใช้สอยภายในวัดไง

นี่ไงวัดๆ หนึ่ง ก็สงฆ์กลุ่มหนึ่ง สังฆะสังคมสงฆ์หนึ่ง วัดหลายวัดเรามารวมลงอุโบสถเป็นสามัคคีอุโบสถ เพื่อตรวจสอบกัน เพื่อดูแลกันเพื่อความมั่นคงกันเห็นไหม ศาสนาทายาท ศาสนาทายาทเกิดมาจากไหน เกิดจากธรรมวินัย ธรรมวินัยอยู่ที่ไหน ธรรมวินัยอยู่ในพระไตรปิฎกเห็นไหม เราศึกษากัน ศึกษาแล้วเราก็ตีความ ทุกคนก็ถูกหมด วัดใดก็ว่าวัดของฉันเคร่ง วัดของฉันตรง วัดของฉันเป็นที่ถูกต้องดีงาม วัดอื่นไม่พร้อมกัน

เวลามาเข้ามาสังคมเห็นไหม มาลงอุโบสถ แต่ละวัดมาลงอุโบสถเขาเรียกเข้าหมู่ พอเข้าหมู่มันตรวจสอบหมด สิ่งอยู่สิ่งอาศัยนี่มันตรวจสอบกัน มันมาพร้อมกัน มันมาเหมือนกัน มันไม่เหมือนกันได้อย่างไง ก็มันมาจากพ่อคนเดียวกันมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวกัน เวลาเรามาบวชกัน เราบวชมาเราเชื่อมั่นในกรรมฐาน มีหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านเป็นประธาน ท่านเป็นผู้ค้นคว้าเป็นผู้ที่วางข้อวัตรปฏิบัติกันไว้มา

แล้วเราก็มาบวช บวชในสัจธรรมนี้ บวชในสัจจะในมรรคในผลนี้ แล้วเราพยายามจะปฏิบัติของเรา ถ้าปฏิบัติของเราปฏิบัติด้วยความจริง ถ้าปฏิบัติด้วยความจริงก็เป็นความจริงขึ้นมา แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยความเห็นของเรา ปิดตา ปิดตาของเรามันก็ปฏิบัติประสาเรา ประสาความเห็นของเรา ความเห็นของเราๆ ไม่ใช่ความจริง ถ้าความจริงขึ้นมานี่ศีลคือศีล สมาธิคือสมาธิ ปัญญาคือปัญญา เวลามีมรรคมีผลขึ้นมามันเหมือนกัน

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติของท่านมา เวลาลงอุโบสถ หลวงตาท่านเล่าให้ฟังประจำ วัดที่อยู่ข้างๆ ในหนองผือ วัดหลวงปู่มั่นพระก็เยอะอยู่แล้ว แล้วพระที่อยู่ในวัดนั้นไม่ได้ก็ไปอยู่ข้างๆ นั่นน่ะ เวลาจะลงอุโบสถเต็มไปหมดเลย เต็มไปหมดเลยเพราะหลวงตาท่านบอกว่า เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์มันเหมือนแม่ เหมือนพ่อเหมือนแม่ พ่อแม่นี่จะให้นมลูก ให้นมลูกนะ เวลาฟังเทศน์ๆ เห็นไหม

ถ้าได้ฟังเทศน์ บอกฟังเทศน์ไปฟังเทศน์ทำไม ฟังเทศน์เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป พระผู้เฒ่าเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตายไปล่ะดีแล้ว เวลามีชีวิตอยู่นี่ทำอะไรก็ไม่ได้ ติไปหมด โน่นผิดนี่ผิดไปหมดเลย พระกัสสปะได้ยิน พระกัสสปะนี่สะท้อนใจมากเลย

เวลาครูบาอาจารย์เห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศนาว่าการ มันเหมือนกับลูกจะได้ดื่มน้ำนมแม่ มันได้ดื่มน้ำนมมันจะมีอบอุ่น มันจะมีความสุขของมัน พอฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ขึ้นมานี่ธรรมสัจธรรมอันนั้นมันคอยเข้าไปกะเทาะกิเลสไง มันจะปิดหูปิดตา มันจะปิดหัวใจ แล้วสัจธรรมนี่เข้าไปฟาดหัวมัน เข้าไปฟาดหัวกิเลส มึงลืมตาซะ! มองชาวบ้านเขาบ้าง เขาทำอย่างไงเห็นไหม เวลาเข้ามานี่มันจะเหมือนกันนี่ไง เข้าหมู่ๆ ไง เวลาธรรมะจะฟาดหัวมันไง พอฟาดหัวมัน ฟาดหัวมันให้มันไม่ปิดหัวใจ ถ้าไม่ปิดหัวใจเห็นไหม มันก็เป็นสัจจะขึ้นมา

ถ้าเป็นสัจจะขึ้นมา เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะเทศนาว่าการ เวลาพระเรานี่คึกคักๆ ไง เพราะอะไร? เพราะปรารถนา มีแรงปรารถนา อยากจะได้สัจจะ อยากจะได้ความจริง แล้วเวลาปฏิบัติเองมันก็ปิดหูปิดตานี่ กิเลสมันปิดหูปิดตาปฏิบัติไปไม่ได้เลย ปฏิบัตินี่สมาธิก็ไม่ได้ เวลาตั้งสติขึ้นมานี่ล้มลุกคลุกคลาน จะปฏิบัติขึ้นไปหัวใจนี่หัวใจมันอ่อนด้อย พอหัวใจมันอ่อนด้อยทำสิ่งใดไปมันก็มีแต่ความโหยหา โหยหาอยากได้ธรรมะ โหยหาอยากได้สัจจะความจริง แต่พฤติกรรมของมันกิเลสมันน่ะปิดตาปิดใจไว้ พอปิดใจไว้นี่มันก็เรียกร้อง

บารมีมันอ่อนด้อยไง อิทธิบาท ๔ มันอ่อนแอไง มันไม่จิตตะวิมังสา วิมังสาคือใคร่ครวญไง มันไม่ใคร่ครวญ ไม่ดูแลหัวใจของตัว ไม่พิจารณาของเราขึ้นมา มันโหยหาเห็นไหม โหยหาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โหยหาธรรมะของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติสำเร็จรูปไว้แล้ว สิ่งที่ท่านทำขึ้นมามันสำเร็จรูปไว้แล้ว แล้วเราคิดว่าเราทำได้ เราคิดว่ามันเป็นจริงได้ เราพยายามจะโหยหาเข้ามาในหัวใจของเรา แล้วมันเป็นจริงไหม นี่เพราะอะไร เพราะมันปิดใจไว้ไง กิเลสมันปิดใจไว้

ฉะนั้น เวลาปฏิบัติมันก็โหยหาอยากได้อย่างนั้น อยากได้อย่างนั้นแต่มันไม่ได้ มันไม่ได้เพราะเราทำไม่ได้ เราทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าดูสิ ต้นไม้นี่เราปลูกขึ้นมา ถ้าเราไม่ดูแลมัน ไม่รดน้ำพรวนดินมัน มันไปไม่ได้หรอก มันตายหมด เว้นไว้แต่มันไปอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ เว้นไว้อยู่ที่ดินดี ไปอยู่ที่ใดนะ มันเจริญงอกงามของมัน ถ้าอยู่ในป่าในเขาในป่าที่ดี แต่เวลาป่ามันแห้งแล้งล่ะ เวลาไฟป่ามันไหม้เข้ามา มันไหม้หมดล่ะ ต้นไม้น่ะต้องดูแลมัน

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเราเวลามันอยู่ในที่แห้งแล้ง แห้งแล้งอะไร? แห้งแล้งด้วยศรัทธาของเราไง แห้งแล้งด้วยความเชื่อมั่นของเราไง มันแห้งแล้ง เวลามันแห้งแล้งขึ้นมาเห็นไหม พอมันแห้งแล้งขึ้นมามันอยู่ในที่กันดาร ต้นไม้มันจะเกิดได้ไหม ต้นไม้มันเกิดไม่ได้ ต้นไม้มันจะเกิดได้มันต้องเกิดในที่ชุ่มชื้นในที่มีอาหาร มีน้ำมีปุ๋ยเพื่อจะให้หล่อเลี้ยงมันขึ้นมา ถ้าหล่อเลี้ยงขึ้นมาเห็นไหม เราจะต้องมีสติปัญญา มีสติปัญญาๆ เวลาเข้าทางจงกรมนั่งสมาธิภาวนาต้องมีสติมีปัญญามีความตั้งใจของเรา ถ้ามีความตั้งใจของเรา เราทำของเรา

ต้นไม้เราเห็นเห็นไหม เห็นแต่สวนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของสวนมะม่วง เราไม่ให้คนอื่นเด็ด ไม่ให้คนอื่นเข้ามากินมะม่วงนั้น แต่เราเป็นเจ้าของสวนเรามีสิทธิที่จะเด็ดจะกิน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก นี่สวนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นมะม่วงมีแต่ผลงอกงามไปหมดเลย มันเป็นสวนมะม่วงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ของเรามันไม่มี ของเรานี่เราจะทำสวนทำไร่ทำสวนของเราขึ้นมา ทำไร่ทำสวนคือมรรคผลนิพพานของเราในหัวใจเราขึ้นมา เราจะต้องดูแลหัวใจของเรา ดูแลรักษา นี่รดน้ำพรวนดินมัน ถ้ามันทำไม่ได้ๆ มันก็ต้องรดน้ำพรวนดินเห็นไหม ถ้ารดน้ำพรวนดินขึ้นมา เวลาทำขึ้นมา รดน้ำพรวนดินเราหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ทำสวนเขาก็ดูแลการทำสวนนั้น

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติมันขึ้นมานี่ ศีลสมาธิปัญญาในหัวใจของเรา เราจะพยายามฟื้นฟูขึ้นมา เราจะทำอย่างไง เราจะมีสติปัญญาแค่ไหน ถ้าเรามีสติปัญญาแค่ไหนเราทำของเราขึ้นมานี่ เราต้องมีสติปัญญาดูแลรักษาหัวใจของเรา ถ้าเราปิดหูปิดตา ปิดหูปิดตามันก็ไปดูในแคตตาล็อกไง มันเข้าไปดูในแคตตาล็อก สวนมันเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นหมดเลย นี่ทางวิชาการรู้หมดเลย แต่ทำไม่ได้

ทำขึ้นมามันไม่มีในหัวใจนี่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ก็ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่อย่างนั้น แล้วก็กลับมาน้อยเนื้อต่ำใจเห็นไหม ดูสิ เวลามันปิดหูปิดตานี่มันเป็นความเห็นของเรา ความเห็นของเรา ด้วยความรู้สึกนึกคิดของเรา คิดว่ามันเป็นจริงเป็นจริงทั้งนั้น แต่สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรเป็นจริงสักอันหนึ่งเลย ไม่เป็นจริงสักอันหนึ่งเลยเพราะว่าเราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เราทำให้มันขึ้นมาเป็นจริงของเราไม่ได้

แต่เราศึกษาเห็นไหมเป็นสุตมยปัญญา เวลาศึกษาเป็นสุตมยปัญญา การศึกษาน่ะใครก็ศึกษาได้ใคร่ครวญได้ โลกนี้โลกเจริญ การศึกษาเจริญ โลกเจริญ เจริญด้วยการศึกษา ศึกษาด้วยความรู้ความรู้ของเขานี่ความเจริญ แต่มันเป็นความจริงไหม มันเจริญขึ้นมาแล้วมันเร่าร้อนไหม เวลาเจริญขึ้นมานี่ทำไมมันเร่าร้อนนัก

แล้วเวลาผลของทางโลกเห็นไหม ในทางเศรษฐกิจมันมีขึ้นและลง มันไม่มีสิ่งใดขึ้นแล้วไม่ลง แล้วลงแล้วไม่ขึ้น มันจะมีการหมุนเวียนของมันอยู่อย่างนั้น มันก็จะเข้ากับผลของวัฏฏะ เข้ากับผลของผลบุญผลกรรม เพราะคนมีบุญมีกรรมมันถึงจังหวะขึ้นและจังหวะลงไม่เหมือนกัน แล้วจังหวะขึ้นจังหวะลงมันเป็นจังหวะที่เราได้รับแต่สิ่งที่เป็นทุกข์ทุกทีเลย แต่สิ่งที่เป็นประสบความสำเร็จ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำไมเราไม่ได้ประสบกับเขาบ้างเลย นี่ไง มันก็ผลของวัฏฏะนี่ไง ผลของบุญกุศลนี่ไง เพราะผลของบุญกุศลโลกเป็นแบบนี้ โลกเจริญๆ แล้วมันทุกข์ไหม โลกมันเจริญๆ ขนาดไหนมันก็มีความทุกข์ไปทั้งนั้น

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ โลกเขาเจริญนี้เป็นสมมุติ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นอนิจจัง มันจะเจริญแล้วจะเสื่อมนั้นมันแสดงตนให้เราเห็นอยู่แล้ว แต่เรามีสติปัญญารักษาใจของเราไง เรามีสติปัญญารักษาใจของเรา เวลาใจของเรา ถ้าใจเรามันผ่องแผ้ว เวลาใจมันสัมมาสมาธิมันสว่างไสว มันเจริญมาจากไหน เจริญจากคำบริกรรม เจริญจากที่ว่าสติปัญญาที่เราทำมา ไม่ใช่ว่าเวลาเราประพฤติปฏิบัติเราก็มาน้อยเนื้อต่ำใจ ปฏิบัติขึ้นมาแล้วก็ไม่ได้ผล

สิ่งภายนอกสภาวะแวดล้อมนี้สำคัญ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ก็ให้เพื่อพระของเราไง เพื่อพระของเรามีข้อวัตร มีข้อวัตรปฏิบัติ ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัตินั่นน่ะมันขีดวงให้กิเลสมันอยู่ในวงนี้ แต่ถ้ามันไม่มีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นไปแล้วนี่มันฟุ้งไปหมด กิเลสของใครก็แล้วแต่มันจะฟาดฟันกัน ทุกคนมีความรู้ความเห็นมีความคิดแตกต่างกันมหาศาล ความรู้ความเห็นที่แตกต่างมหาศาลนี่แล้วเอาเข้าไปอยู่ในส่วนรวมนี่มันจะอยู่ได้อย่างไง

ความเป็นสังฆะ ความเป็นสงฆ์อยู่นั้น ที่ว่าเป็นร่างกายเดียวกันนั้นมันจะอยู่กันได้อย่างไง ดูสิ เวลาคนเราเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเนื้อร้ายเขาต้องตัดมันออก เพราะอะไร เพราะเป็นเนื้อร้ายแล้วมันจะเผยแผ่ไปในร่างกายนั้น มันจะทำให้ร่างกายทั้งร่างกายนั้นชำรุดเสียหายไปหมดเลย นี้เหมือนกัน ถ้าความรู้ความเห็นมันแตกต่างกันที่มันฟาดฟันกัน มันก็จะมีฟาดฟันกันไปตลอด ถ้ามันจะขีดวงของมันล่ะ ถ้าขีดวง เราก็ต้องมีสติมีปัญญา

ถ้ามีสติปัญญานี่ข้อวัตรปฏิบัติที่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านวางไว้ มันมีความจำเป็น มันจะเสื่อม มันจะเจริญ เจริญอยู่ตรงนี้ ถ้ามันจะเจริญเจริญเพราะว่าความสามัคคีในหมู่สงฆ์ ประชุมร่วมกัน เลิกพร้อมกัน ทุกอย่างเหมือนกัน นั้นเป็นความรุ่งเรืองของสังคมสงฆ์ แต่ถ้ามันไม่พร้อมกัน นั้นจะเป็นความเสื่อม ความเสื่อมมันจะเกิดจากตรงนั้น เกิดจากความประชุมไม่พร้อมเพรียงกัน เวลาลงลงไม่เหมือนกัน เวลาเลิกต่างคนต่างไป ไม่มีใครดูใครแลใครรักษาสิ่งที่เป็นส่วนกลาง ไม่มีใครรักษาของที่เป็นของสงฆ์ ของสงฆ์ต้องมีคนดูแล ต้องมีคนรักษา นั่นเป็นข้อวัตรปฏิบัติ

นี้เรื่องภายนอก เรื่องข้อวัตรปฏิบัตินี้เรื่องภายนอกเห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นเรื่องข้อวัตร เป็นเรื่องศีลทั้งนั้น มันต้องมีสมาธิทำความสงบใจเข้าไป ใจมีสมาธิขึ้นมาแล้วนี่ สิ่งที่ว่าเราเป็นของหนักของหน่วงของที่เป็นภาระของเรา เราเกิดมาจากตรงนี้ ต้นไม้จะเกิดขึ้นมาจากดินดี น้ำดีทุกอย่างดี หัวใจที่มันจะเกิดขึ้นมานี่มันต้องมีศีลสมาธิปัญญาของมัน ถ้าหัวใจที่มันเกิดขึ้นมา หัวใจที่มันดีต้นไม้ขาดน้ำมันอยู่ได้อย่างไง ต้นไม้มันขาดน้ำมันตายหมด

นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าจิตใจเราดี เราปฏิบัติมาดี เราทำมาดี สิ่งที่มันเทียบมากับความเจริญมันขัดแย้งกัน นี่ไง ถ้ามันไม่ปิดตามันต้องเห็น มันต้องรู้ ถ้ามันเห็นมันรู้ เพราะมันเปิดตานี่เพราะมันเจริญมันเจริญมาอย่างไง มันจะเจริญมามันต้องมีที่มาที่ไป เวลามันเจริญเห็นไหม ดูสิ มันเจริญเวลาปฏิบัติขึ้นมาจิตมันดีขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว เพราะคนเราเกิดมามันมีอำนาจวาสนานะ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาไม่มาเกิดเป็นคนได้

การเกิดเป็นคนเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐแล้วทรัพย์ที่ประเสริฐ ถ้ามีจิตใจมีความปรารถนาจะปฏิบัติ กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธินี่มันส้มหล่น มันเพราะอำนาจวาสนาบารมี มันทำให้เป็นให้ไปได้ แต่ให้เป็นให้ไปด้วยอำนาจวาสนาไม่ใช่ไปด้วยมรรค มรรคคือศีล สมาธิ ปัญญา คือสติปัญญาของเรา ถ้าเป็นสติปัญญาของเราคือเราเป็นคนแยกแยะ เราเป็นคนจัดการ เราเป็นคนบริหารจัดการ เรามีพร้อมไง เรามีเงินมีทองมีทุกอย่างพร้อม เราจะสามารถบริหารจัดการชีวิตเราได้สะดวกสบายเลย

นี่ก็เหมือน ถ้าเราบริหารจัดการเห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีมรรคมีผลนี่เราไปบริหารจัดการ สมาธิมันจะไปไหน ภาวนามยปัญญามันจะไปไหน เพราะเราเป็นคนบริหารจัดการ เราเป็นคนวางรากฐาน เราเป็นคนวางรากฐานหัวใจของเราเอง หัวใจของเรานี่เราวางรากฐาน แล้วให้มันก้าวเดินให้มันพัฒนาขึ้นมา แล้วเราเป็นคนทำ คนที่มีหลักการ คนที่บริหารจัดการหัวใจของตัวขึ้นมา มันจะเสื่อมไปไหน มันจะเรียกร้องสมาธิที่ไหน มันจะไปจัดการที่ไหน

ถ้าหัวใจเราเป็นคนวางรากฐานขึ้นมา อย่าปิดหูปิดตาตัวเอง เพราะเราไปปิดหูปิดตา ปิดหูปิดตาโดยกิเลสนะ กิเลสมันปิดตาแล้วมันก็คาดหมาย แล้วมันก็จินตนาการไป มันเป็นเรื่องโลกๆ นะ มันเป็นเรื่องโลกๆ สุตมยปัญญาการศึกษาเล่าเรียนการวิเคราะห์วิจัยมา มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นเลย ต้องวางไว้ไง

นี่ไง เวลาหลวงตาท่านเรียนจบมหา เวลาท่านจะออกปฏิบัติเห็นไหม มรรคผลนิพพานมันจะมีอยู่จริงหรือ ก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่แหละ จนได้ใบประกาศมาเป็นมหา แต่มันก็ยังสงสัย เพราะความสงสัยมันจะปิดโอกาสตัวเองแล้วล่ะ เลยตั้งสัจจะอธิษฐาน “ถ้ามีครูบาอาจารย์องค์ใดท่านชี้นำเราได้จนหมดความสงสัย เราจะถืออาจารย์องค์นั้นเป็นอาจารย์ของเรา” มุ่งเข้าไปหาหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านก็เป็นความจริง เป็นอาจารย์จริงๆ เป็นคนที่มีคุณธรรม เป็นพระที่มีคุณธรรมในหัวใจสมบูรณ์เต็มเปี่ยมเลย แล้วต้องการวางรากฐานให้กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง

“มหา มหามาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานเหรอ มรรคผลนิพพานไม่ใช่อยู่ที่การศึกษามา มรรคผลนิพพานไม่ใช่อยู่ที่การค้นคว้าตามตำรามา มรรคผลนิพพานไม่ใช่อยู่ที่สสารสิ่งใดเลย มรรคผลนิพพาน สิ่งที่สัมผัสได้คือความรู้สึก คือหัวใจเท่านั้น”

นี่หลวงตาท่านลงใจเห็นไหม พอลงใจขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นความจริงขึ้นมาเห็นไหม มหา สิ่งที่ศึกษามานี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี่เป็นศาสดาของเรา เราเทิดใส่ศีรษะไว้คือเชิดชูบูชา สิ่งที่ศึกษามาจนจบเป็นมหานี่เชิดชูบูชา สิ่งนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่! แต่อย่าให้มันปิดตา ถ้ามันปิดตาแล้วนี่ เรารู้แล้ว เราเก่งแล้ว เรามีความสามารถแล้ว ใช้ไม่ได้ นั่นเป็นสวนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไปเที่ยวสวน เราไปดูงาน ไปเที่ยวสวนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามะม่วงเต็มไปหมดเลย ทุกชนิด ทุกพันธุ์ มีผลเต็มไปหมดเลย นั่นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทิดใส่ศีรษะไว้ เทิดใส่ความเห็นตัวเองไว้ แล้วใส่ลิ้นชักในสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ด้วย อย่าให้มันออกมา แล้วปฏิบัติไป

นี่ไง เราพระกรรมฐานนี่ไง ที่เราจะมาปฏิบัติกันอยู่นี่ไง เราจะมาหาสมบัติของเรา เราจะมาหาความจริงของเรา เราจะไม่ให้กิเลสปิดบังหัวใจของเรา เราจะพยายามจะสู้กับมันไง เราพยายามจะต่อสู้กับมัน เราจะหามรรคผลนิพพานของเราไง หลวงปู่มั่นบอกว่า “ให้ใส่ลิ้นชักในสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา” แล้วเราพยายามขวนขวายประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา พยายามสร้างสมขึ้นมา เราพยายามรักษาแนวทางในหัวใจของเรา เราจะสร้างมรรค มรรคคือศีลสมาธิปัญญา ให้มันเกิดขึ้นจากความเป็นจริงในใจ

ขนาดสร้างขึ้นมามันยังทุกข์ยากขนาดนี้อยู่แล้ว แล้วเราก็ยังจะไปเอามรรคเอาผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทียบเคียง พอเทียบเคียงปฏิบัติขึ้นไปก็ล้มลุกคลุกคลานทุกที พอจะปฏิบัติทีไร ก็คิดถึงแต่ศีลสมาธิปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็โหยหา อยากเป็น อยากมี อยากได้อย่างนั้น แล้วก็ทุกข์! ทุกข์! ทุกข์!

หลวงปู่มั่นบอกว่า “มันจะเตะมันจะถีบกัน การปฏิบัติมันจะไม่ก้าวหน้า การปฏิบัติมันจะมีแต่การคาดหมาย การปฏิบัติมันมีแต่ผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” นี่ผู้ที่มีคุณธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ใส่ลิ้นชักในสมองไว้ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา แล้วประพฤติปฏิบัติของเราจริงจังของเราขึ้นมา อย่าให้กิเลสมันปิดหัวใจ แล้วพยายามกระทำปฏิบัติของเราขึ้นไป

เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นท่านพูดขนาดนั้น แล้วหลวงตาท่านก็ลงใจจริงๆ ด้วย แล้วท่านก็พยายามทำจริงๆ ด้วย ทำจริงๆ จนเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจของท่านขึ้นมาเห็นไหม แล้วท่านก็ซาบซึ้ง เวลาท่านพูด ท่านมาเล่า มันเป็นคติธรรมกับลูกศิษย์ลูกหา เวลาเล่าทีไรท่านจะพูดตรงนี้ว่า “มันเริ่มต้นตั้งแต่ท่านปรารถนา ท่านปรารถนาให้คนชี้ทาง ท่านปรารถนาให้คนบอกทาง ท่านปรารถนาให้มีครูมีอาจารย์” แล้วพอท่านเข้าไปมันก็โดนจริงๆ มันก็โดนจริงๆ แล้วท่านก็บอกว่ามันเป็นผลบวกๆ

ผลบวกเพราะว่าหัวใจเรามันดื้อ หัวใจมันต้องการความจริง แล้วมันก็ไปเจอจริงๆ แล้วก็ปฏิบัติจริงๆ แล้วก็ได้มรรคผลจริงๆ เพราะความเป็นจริงเห็นไหม ถ้าเราเป็นความจริงมันมีครูมีอาจารย์ เราต้องเอาตรงนั้นเป็นตัวตั้ง แล้วเราพยายามเพราะว่าหลวงปู่มั่นท่านเคยปฏิบัติมาก่อน ท่านรู้จักหน้าของกิเลส ท่านรู้จักเล่ห์กลของมัน

แล้วท่านก็เห็นเห็นไหม เห็นมหาหนุ่มๆ องค์หนึ่งอยากจะขวนขวายปฏิบัติ มันก็เหมือนกับคนที่จะเข้าไปต่อสู้กับพญามาร แล้วคนที่จะเข้าไปต่อสู้กับพญามาร พญามารเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในทุกดวงใจ ทุกดวงใจที่มันมีการศึกษา พญามารมันก็ครอบงำอยู่ในดวงใจนั้น แล้วตัวเองจะเข้าไปเผชิญกับพญามารนั้น ท่านเคยเผชิญกับพญามารมาก่อน ท่านถึงรู้ว่าพญามารเขี้ยวเล็บมันละเอียดแค่ไหน ท่านถึงได้สังเวช ท่านถึงได้บอกวิธีการอันนั้น

แล้วผู้ที่มาหาท่านก็ฟังจริงๆ แล้วท่านก็ทำจริงๆ แล้วท่านก็ล้มลุกคลุกคลาน ท่านบอกในการประพฤติปฏิบัติ “ทุกข์มากๆ แต่พอใจที่จะทุกข์” เพราะทุกข์ในวัฏฏะทุกข์ไม่มีต้นไม่มีปลาย ทุกข์ไม่มีทางออก กับเราพอใจในการประพฤติปฏิบัติทุกข์มาก ทุกข์มาก แต่พอใจที่จะทุกข์ เวลาจิตมันสงบลงมามันก็จะมีความสุข เวลาจิตสงบขึ้นมาแล้วเห็นไหม มันเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลามันออกฝึกหัดใช้ปัญญามันยิ่งเทิดทูนยิ่งบูชา เวลาจิตมันเสื่อมเศร้าใจๆ ทุกข์ใจ กลับไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านก็ให้กำลังใจ ให้กำลังใจเห็นไหม จิตมันเป็นเช่นนี้เอง ทุกคนก็เจอประสบการณ์อย่างนี้มา ครูบาอาจารย์ที่ล้มลุกคลุกคลานมาแล้ว ท่านเผชิญภัยมากกว่านี้ ท่านล้มลุกคลุกคลานมามากกว่านี้

พญามารเวลามันครอบครองหัวใจ มันปิดหัวใจของใครแล้วหัวใจนั้นมันมืดบอด แต่ครูบาอาจารย์ท่านทุกข์มาแล้ว ท่านเคยเห็นของมันมาเห็นไหม ท่านถึงพยายามชี้นำ พยายามถึงบอกไง แล้วชี้นำถึงบอกเห็นไหม ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ไม่มีใครบอก ท่านขวนขวายของท่านขึ้นมาเอง แต่นี่เห็นไหม ครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านพยายามของท่าน เวลาท่านทำได้จริง หลวงตาท่านยืนยัน “หมู่คณะจำไว้นะ ที่ท่านเทศนาว่าการไว้นี่ เล่ห์กลของกิเลสถ้าใครประพฤติปฏิบัติไปถึงตรงนั้นแล้ว แล้วท่านจะมากราบศพท่าน กราบศพท่าน” เพราะท่านก็มากราบศพหลวงปู่มั่นก่อนแล้ว เพราะท่านก็ไม่คิดว่ามันจะละเอียดขนาดนั้น ท่านก็ไม่คิดว่ามันจะมีเล่ห์กลขนาดนั้น แต่เวลาท่านเข้าไปเจอแล้วนี่ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น

เวลามันผ่านไปแล้วถึงระลึกได้ เวลาเข้าไปเจอความจริงถึงระลึกว่า เอ้อ! หลวงปู่มั่นท่านเคยบอกไว้ ท่านเคยบอกไว้ ท่านเคยบอกไว้ว่าอย่างนี้ แต่เรายังไม่เคยเจอมันๆ ก็ยังประมาทไง ก็ยังคิดว่าเราละเอียดรอบคอบพอ รอบคอบพอ แต่เวลาไปเจอมันจริง มันลึกลับกว่าที่เราจินตนาการหลายเท่านัก แล้วเวลาไปกำจัดมันได้เห็นไหม ทำมันได้ นี่ถึงมาระลึกได้ว่า อ๋อ! ที่ท่านเคยบอกไว้ๆ เป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง แต่เราไม่เคยรู้เคยเห็น

เพราะกิเลสมันปิดใจ เราปิดตาเราเราก็งุ่มง่ามอยู่อย่างนี้ แต่ถ้ามันปิดหัวใจนะ จบเลย ปิดหัวใจแล้วนี่มันมีแต่ความคิดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น ความคิดที่เข้าข้างกับกิเลส กิเลสมันสร้างให้ แล้วมันก็จะเป็นความเห็นของมันอยู่อย่างนั้นไป แล้วก็ว่าเราทำคุณงามความดีขนาดนี้ เราได้สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนี้ ทำไมใครไม่เห็นคุณงามความดีเราเลยเห็นไหม เวลากิเลสมันปิดใจนี่ มันปิดใจแล้วมันยังทำลาย ทำลายโอกาส ทำลายน้ำใจ ทำลายทุกอย่างให้เราล้มลุกคลุกคลานไปตลอด นั้นถ้ากิเลสปิดใจ

แต่เรามาบวช เรามาเป็นพระ เราต้องตั้งสติของเรา สิ่งที่ปิดหูปิดตาปิดหัวใจของเรานั้นเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น แล้วเราก็ตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าเราจะมาดูหน้ามัน จะมาดูหน้ามันเฉยๆ นะ ถ้าเห็นหน้ามันแล้วนะ แล้วเวลาจะต่อสู้กับมันนะ เรามีกำลังพอหรือเปล่า เรามีสติมีสมาธิพอที่จะสู้กับมันไหม ถ้ามีสติมีสมาธิพอที่จะสู้กับมันได้ เผชิญหน้ามันเลย เผชิญหน้ามัน แล้วสู้มัน เอวัง